ประวัติการปกครองของไทยสมัยกรุงสุโขทัย
ยุดแรก ปกครองแบบพ่อปกครองลูก
คำนำหน้าพระนามพระมหากษัตริย์จะมีคำว่า “พ่อขุน” นำหน้า
ลักษณะเด่น
- มีพลเมืองน้อยปกครองง่าย
- มีความใกล้ชิดกันระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์
ยุดกลาง ปกครองแบบจักรพรรดิ
คำนำหน้าพระนามของพระมหากษัตริย์มีคำว่า “พญา” นำหน้า
ลักษณะเด่น
- มีประชากรเพิ่มมากขึ้น
- ผู้ปกครองมีอำนาจเด็ดขาดมากขึ้น
ยุคปลาย ปกครองแบบธรรมราชา
คำนำหน้าพระนามของพระมหากษัตริย์มีคำว่า “พระมหาธรรมราชาที่”นำหน้า
ลักษณะเด่น
- นำเอาหลักธรรมของศาสนาพุทธในเรื่องการเป็นผู้นำผู้ปกครองมาใช้ควบคุมพฤติกรรมพระมหากษัตริย์คือ “ทศพิธราชธรรม”
การจัดระเบียบการปกครองสมัยสุโขทัย
1. เมืองหลวง คือ สุโขทัยเป็นศูนย์กลางการปกครอง
2. เมืองลูกหลวงหรือเมืองหน้าด่าน ตั้งอยู่รอบ ๆ เมืองหลวง มี 4 ทิศ โดยมีเชื้อพระวงศ์เป็นผู้ปกครอง มีหน้าที่ สะสมเสบียงอาหารและป้องกันข้าศึกศัตรู เมืองหน้าด่านทั้ง 4 ได้แก่
- ทิศเหนือ คือ ศรีสัชนาลัย
- ทิศใต้ คือ สระหลวง (พิจิตร)
- ทิศตะวันออก คือ สองแคว (พิษณุโลก)
- ทิศตะวันตก คือ ชากังราว (กำแพงเพชร)
3. เมืองพระยามหานคร หรือเมืองชั้นนอก เป็นหัวเมืองชั้นนอก มีเจ้าเมืองหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ปกครอง
4. เมืองประเทศราช เมืองที่อยู่นอกราชอาณาจักรโดยยอมสวามิภักดิ์ต่อสุโขทัย โดยการส่งเครื่องราชบรรณาการให้ และมีเจ้าเมืองเดิมปกครอง
1. เมืองหลวง คือ สุโขทัยเป็นศูนย์กลางการปกครอง
2. เมืองลูกหลวงหรือเมืองหน้าด่าน ตั้งอยู่รอบ ๆ เมืองหลวง มี 4 ทิศ โดยมีเชื้อพระวงศ์เป็นผู้ปกครอง มีหน้าที่ สะสมเสบียงอาหารและป้องกันข้าศึกศัตรู เมืองหน้าด่านทั้ง 4 ได้แก่
- ทิศเหนือ คือ ศรีสัชนาลัย
- ทิศใต้ คือ สระหลวง (พิจิตร)
- ทิศตะวันออก คือ สองแคว (พิษณุโลก)
- ทิศตะวันตก คือ ชากังราว (กำแพงเพชร)
3. เมืองพระยามหานคร หรือเมืองชั้นนอก เป็นหัวเมืองชั้นนอก มีเจ้าเมืองหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ปกครอง
4. เมืองประเทศราช เมืองที่อยู่นอกราชอาณาจักรโดยยอมสวามิภักดิ์ต่อสุโขทัย โดยการส่งเครื่องราชบรรณาการให้ และมีเจ้าเมืองเดิมปกครอง
· ประวัติการปกครองของไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
ลักษณะการปกครองแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
- แบบธรรมราชา
กษัตริย์ปฏิบัติตามหลักธรรมทางพุทธศาสนา
- แบบเทวราชา
กษัตริย์เป็นสมมติเทพรับอิทธิพลมาจากขอม
การจัดระเบียบการปกครอง
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ได้นำรูปแบบการปกครองสมัยสุโขทัยและเขมรมาปรับใช้โดยแบ่งเป็น
- ราชธานี
- หัวเมืองชั้นใน
- เมืองลูกหลวง
- หัวเมืองชั้นนอก
- เมืองประเทศราช
ต่อมาพระบรมไตรโลกนาถทรงปรับปรุงการปกครองเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับราชธานี จึงจัดระเบียบการปกครองใหม่เพื่อรวมอำนาจเข้าสู่ศุนย์กลางแบ่งเป็น
- ราชธานี
- หัวเมืองชั้นใน ผู้ปกครองเรียกว่า “ผู้รั้ง”
- หัวเมืองชั้นนอก แบ่งเป็น
เอก โท ตรี โดยแบ่งภายในเมืองเป็นการปกครองท้องถิ่นคือ เมือง(จังหวัด) , แขวง (อำเภอ) , ตำบล , บ้าน
การปกครองราชธานี
แบ่งเป็น 4 ส่วน เรียกว่า “จตุสดมภ์” ได้แก่
- กรมเมือง ดูแลความเรียบร้อยในราชธานี
- กรมวัง ดูแลเกี่ยวกับกิจการต่างๆในราชสำนักและพระราชพิธีต่างๆ
- กรมคลัง ดูแลเกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้รายจ่ายของพระคลัง
- กรมนา ดูแลเกี่ยวกับนาหลวง การเก็บภาษี และการจัดเก็บข้าวเข้าท้องพระคลัง
การปกครองสมัยพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปใหม่
- กรมเมือง เปลี่ยนเป็น นครบาล
- กรมวัง เปลี่ยนเป็น ธรรมาธิกรณ์
- กรมคลัง เปลี่ยนเป็น โกษาธิบดี
- กรมนา เปลี่ยนเป็น เกษตราธิบดี
· ประวัติการปกครองของไทยสมัยกรุงธนบุรี
การปกครองในสมัยนี้ยึดถือแบบของกรุงศรีอยุธยาแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
การปกครองส่วนกลาง
กรุงธนบุรีเป็นศูนย์กลางมีอัครมหาเสนาบดีตำแหน่ง “เจ้าพระยา” จำนวน 2 ท่าน ได้แก่
1. สมุหนายก
เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน ดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งในราชการฝ่ายทหารและพลเรือน มียศเป็น เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ หรือที่เรียกว่า ออกญาจักรี
2. สมุหพระกลาโหม
เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร ดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งหมด มียศเป็น เจ้าพระยามหาเสนา หรือที่เรียกว่า ออกญากลาโหม
ส่วนจตุสดมภ์ยังมีไว้คงเดิม มีเสนาบดีตำแหน่ง “พระยา” จำนวน 4 ท่าน ได้แก่
1. กรมเวียงหรือนครบาล
มีพระยายมราชทำหน้าที่ดูแลและรักษาความสงบเรียบร้อยในพระนคร
2. กรมวังหรือธรรมาธิกรณ์
มีพระยาธรรมธิกรณ์ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตพระราชฐาน
3. กรมคลังหรือโกษาธิบดี
มีพระยาโกษาธิบดีทำหน้าที่ดูแลการซื้อขายสินค้า ภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลหัวเมืองฝ่ายตะวันออก
4. กรมนาหรือเกษตราธิการ
มีพระยาพลเทพทำหน้าที่ดูแลการเกษตรกรรมหรือการประกอบอาชีพของประชาชน
· ประวัติการปกครองของไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
การปกครองและการบริหารประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
รูปแบบของการปกครองทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคยังคงยึดตามแบบฉบับที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงวางระเบียบไว้ จะมีการเปลี่ยนแปลงก็เพียงเล็กน้อย เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๑ โปรดฯให้คืนเขตการปกครองในหัวเมืองภาคใต้กลับให้สมุหกลาโหมตามเดิม ส่วนสมุหนายกให้ปกครองหัวเมืองทางเหนือ ส่วนพระคลังดูแลหัวเมืองชายทะเล ในด้านระบบการบริหาร ก็ยังคงมีอัครมหาเสนาบดี ๒ ฝ่าย คือ สมุหนายกเป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือน ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ และสมุหกลาโหม เป็นหัวหน้าราชการฝ่ายทหาร ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ตำแหน่งรองลงมาคือ เสนาบดีจตุสดมภ์ แบ่งตามชื่อกรมที่มีอยู่คือ เวียง วัง คลัง นา ในบรรดาเสนาทั้ง ๔ กรมนี้ เสนาบดีกรมคลังจะมีบทบาทและภาระหน้าที่มากที่สุด คือนอกจากจะบริหารการคลังของประเทศแล้ว ยังมีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองชายทะเลตะวันออก เสนาบดีทั้งหลายมีอำนาจสั่งการภายในเขตความรับผิดชอบของตน รูปแบบที่ถือปฏิบัติก็คือ ส่งคำสั่งและรับรายงานจากเมืองในสังกัดของตน ถ้ามีเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น เสนาบดีเจ้าสังกัดจะเป็นแม่ทัพออกไปจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย มีศาลของตัวเองและสิทธิในการเก็บภาษีอากรในดินแดนสังกัดของตน รวมทั้งดูแลการลักเลขทะเบียนกำลังคนในสังกัดด้วย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินอย่างขนานใหญ่ ควบคู่ไปกับการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ก็เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป การปฏิรูปเศรษฐกิจ ก็ได้แก่ การปรับปรุงระบบบริหารงานคลังและภาษีอากร ส่วนการปฏิรูปสังคมก็ได้แก่ การเลิกทาส การปฏิรูปการศึกษา รวมทั้งการปรับปรุงการสื่อสาร และการคมนาคม เป็นต้น
สำหรับมูลเหตุสำคัญที่ผลักดันให้มีการปฏิรูปการปกครอง มีอยู่ ๒ ประการ คือ
๑.มูลเหตุภายใน ทรงพิจารณาเห็นว่าการปกครองแบบเดิมไม่เหมาะสมกับสภาพทางการปกครองและทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ประเทศไทยมีประชากรเพิ่มขึ้น การคมนมคมและการติดต่อสื่อสารเริ่มมีความทันสมัยมากขึ้น การปกครองแบบเดิมจะมีผลทำให้ประเทศชาติขาดเอกภาพในการปกครอง ขาดประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและพัฒนาได้ยาก
๒.มูลเหตุภายนอก ทรงพิจารณาเห็นว่า หากไม่ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินย่อมจะเป็นอันตรายต่อเอกราชของชาติ เพราะขณะนั้น จักวรรดินิยมตะวันตก ได้เข้ามาแสวงหาอาณานิคมในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นอกจากนั้น แต่เดิมเราต้องยินยอมให้ประเทศตะวันตกหลายประเทศมีสิทธิภาพนอกอาณาเขตคือ สามารถตั้งศาลกงสุลขึ้นมาพิจารณาความคนในบังคับของตนได้ โดยไม่ต้องอยู่ใต้การบังคับของศาลไทย เพราะอ้างว่า ศาลไทยล้าสมัย